น.ส. สุธีรัตน์ ยงยิ่ง 5711165136
สาขา สธารณสุขชุมชน ห้อง 1
หากนักศึกษาต้องการซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์
จะเลือกซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีคุณสมบัติอย่างไร จึงจะเหมาะสมกับงานที่ตนเองใช้ให้นักศึกษาแต่ละคนไปหา
Spec ของเครื่องคอมพิวเตอร์ (PC) หรือ
Notebook 1 เครื่อง บอกคุณสมบัติของ Spec เหล่านั้น
1.CPU Core-i3 เหมาะสำหรับคนทำงานเอกสารทั่วไป
ดูหนังฟังเพลง เล่นเน็ตได้ชิวๆเลย ( เล่นเกมส์ พอได้นะ เช่นบวก Data )
Core-i5 เหมาะสำหรับคนเล่นเกมส์ แปลงไฟล์เรนเดอร์งานสามมิติ
เขียนโปรแกรม Core-i7 คอร์เกมตัวยง นักวิศวะกรรม
ออกแบบทำงานสามมิติ Atom จะเป็น cpu สำหรับ
netbook นะครับ กินไฟฟ้าน้อย ประหยัดพลังงาน
เหมาะกับงานออฟฟิตทั่วไป โดย ตระกูล Core-i จะแบ่งย่อยอีกเป็น
2 พวก คือ พวกประหยัดพลังงาน และ ปกติ รุ่นประหยัดพลังงาน
เช่น Intel Core i5-3317U ( จะลงท้ายด้วย U ) รุ่นปกติ เช่น Intel Core i5-3210M
2.Hard disk ถ้าคนปกติจริงๆ 500
GB ก็เหลือแล้ว ยกเว้นบางพวกโหลดหนังมาดูเก็บเพลงเยอะๆ อันนี้เป็น 1000
GB ก็ยังไม่พอ สำหรับความเร็วในการอ่าน จะเห็นตัวเลข 5400
rpm กับ 7200 rpm 7200 rpm จะอ่านได้เร็วกว่านิดหนึ่ง
แต่ข้อเสียของมันก็มีอยู่บ้างคือ ความร้อนสูง ตามเว็บไซต์เมืองนอกเขาว่ากันว่าทางทฤษฎีเร็วกว่ากัน
8 % Hardisk อีกประเภทคือ SSD = Solid State Drive จะอ่านได้เร็วกว่า เสียงเบากว่า กินฟ้าน้อยกว่า ไวต่อการบูตเครื่อง
ทนต่อแรงกระแทก และสุดท้าย แพงกว่าเยอะ นิยมใช้ใน Ultrabook และข้อเสียอีกข้อ
ยังเก็บข้อมูลได้น้อย ใครงบเยอะก็จัดไปเลย + ถ้าจะซื้อ SSD
มาติดใน nobebook ส่วนใหญ่เค้าจะถอด DVD
ออก โดยอาจจะใช้ SSD แค่ 128 GB ก็เพียงพอ โดยราคาประมาน 3000 บาท
3.RAM คือหน่วยความจำหลักของคอมพิวเตอร์
มีความสำคัญมากต่อประสิทธิภาพการทำงาน และความเร็วในการทำงานโดยรวมของคอมพิวเตอร์
มีหน้าที่รับข้อมูลและชุดคำสั่งของโปรแกรมต่างๆ เป็นหน่วยความจำ ถ้า window
7 ขึ้นไป ควรใช้ 4 GB ถ้าใครเล่นเกมส์หนักๆ
ทำงานออกแบบ ตัดต่อ อาจจะเพิ่มเป็น 8+ ก็ได้
ถ้าเกิดหน่วยความจำไม่พอเครื่องจะค้างและช้า notebook สมัยนี้ส่วนใหญ่จะให้มา
4 GB อยู่แล้วก็เพียงพอกับการใช้งานทั่วไป
4.CD-ROM Drive CD-ROM Drive คือเครื่องขับแผ่น CD ที่ติดตั้งอยู่หน้า Case
การใช้งานต้องวางแผ่นลงบนถาดที่เลื่อนออกมาจาก CD-ROM Drive จากนั้นเพียงกดปุ่ม ถาดก็จะ เคลื่อนกลับเข้าไป พร้อมที่จะเล่นแผ่นได้
CD-ROM Drive สามารถเล่นแผ่นได้ต่อไปนี้ แผ่น CD-ROM ซึ่งปัจจุบัน แผ่น CD-ROM จำแนกเป็น 2 ประเภท แผ่น CD-ROM ที่บรรจุโปรแกรมประเภทสารานุกรม
หรือ บทเรียนสำหรับการเรียนรู้ ด้วยตนเอง ในการเล่นครั้งแรก
ผู้ใช้อาจจำเป็นติดตั้งโปรแกรมก่อน แต่ในการเล่นโปรแกรมครั้งต่อไปผู้ใช้เพียงใส่ CD-ROM
เข้าไปใน Drive และเพียง Start
Programme จาก Desktop เท่านั้น แผ่น CD-ROM
ที่บรรจุซอฟต์แวร์เพื่อติดตั้งในเครื่องคอมพิวเตอร์
ซึ่งปัจจุบันการติดตั้งซอฟต์แวร์ เกือบทั้งหมดจะใช้สื่อ CD-ROM แทนที่จะใช้ Floppy Disk(S) ดังเช่นในอดีต แผ่น Audio-CD
หรือ แผ่น CD เพลง ที่มีจำหน่ายในท้องตลาดทั่วไป
แต่ละเพลงบรรจุด้วย File ที่มีส่วนขยาย WAV โดยปกติแผ่นประเภทนี้ควรเล่นกับเครื่องเล่น CD ที่เป็นส่วนหนึ่งของชุดเครื่องเสียง
การจะเล่นกับ เครื่องคอมพิวเตอร์นั้น เครื่องคอมพิวเตอร์ดังกล่าวจะต้องมี Sound
Card และลำโพง แผ่น Video-CD ได้แก่แผ่นที่สามารถ
เล่นภาพยนต์เรื่องยาว Concert หรือ Karaoke โดยปกติแผ่นประเภทนี้ ควรเล่นกับเครื่องเล่น Video-CD ซึ่งจะส่งสัญญาณภาพเข้าเครื่องรับโทรทัศน์ทั่วไป
แต่หากจะเล่นกับเครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องคอมพิวเตอร์ดังกล่าวจะต้องมี Sound
Card ลำโพง และซอฟต์แวร์ที่สามารถอ่านแผ่น Video-CD ได้ อนึ่ง Windows Media Player ที่ติดมากับระบบปฏิบัติการ
Windows ก็สามารถอ่าน File ในแผ่น Video_CD
ได้ แต่การเล่นจะไม่ค่อยสะดวกนัก แผ่น MP3 ที่บรรจุเพลง
MP3 ซึ่งมีการผลิตใช้กันในหมู่ญาติมิตร หรือเผยแพร่กันอย่าง
"ไม่เป็นทางการ" นั้น เป็นการใช้เทคโนโลยีบีบอัดข้อมูลเสียง MP3
File จึงมีขนาดเล็กกว่า WAV File ประมาณ 12
ถึง 14 เท่า
การบีบอัดใช้หลักการตัดเสียงที่อยู่นอกพิสัยการได้ยินของมนุษย์
และเสียงที่ในช่วงใดช่วงหนึ่งของเพลงถูกกลบด้วยเสียงอื่น การที่ File มีขนาดเล็กลงมากเช่นนี้ ทำให้สามารถบรรจุเพลงได้มากถึง 150 เพลงหรือมากกว่าในแผ่น CD เพียงแผ่นเดียว
แรกทีเดียวเพลงประเภทนี้สามารถฟังได้จากเรื่องคอมพิวเตอร์เท่านั้น
โดยใช้ซอฟต์แวร์เช่น Winamp แต่ปัจจุบันเครื่องเล่นแผ่น Video-CD
หรือแม้แต่เครื่องเสียงในรถยนต์บางรุ่น ได้รวมความสามารถในการเล่น File
MP3 ไว้ในตัวด้วย คุณสมบัติของ CD-ROM Drive ที่ต้องพิจารณาคือความเร็ว
เมื่อ CD-ROM Drive ออกใหม่เคยมีความเร็ว Double-Speed
หรือ 2x ต่อจากนั้นความเร็วก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จนปัจจุบัน CD-ROM Drive ที่มีจำหน่ายทั่วไปมีความสูงสุดที่ 60x
การพิจารณาความเร็วของ CD-ROM Drive นั้น
ต้องกระทำภายใต้เงื่อนไข 2 ประการ ได้แก่ ความเร็วที่ระบุนั้นเป็นความเร็วสูงสุด
ภายใต้สถาวะแวดล้อมด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่เอื้ออำนวยที่สุด
ซึ่งระหว่างอายุการใช้งานอาจไม่ได้บรรลุดวามเร็วดังกล่าวเลยก็ได้ เปรียบได้กับความเร็วของรถยนต์สูงสุดต่อชั่งโมงที่ปรากฏที่มาตรวัดความเร็วของรถ
(เช่น 240 กม.ต่อ ชั่วโมง)
ซึ่งมีรถน้อยคันที่จะวิ่งได้เร็วเท่านี้ ความเร็วของ CD-ROM Drive นั้นให้ประโยชน์เฉพาะแผ่น CD-ROM ประเภทที่ติดตั้งซอฟต์แวร์
และ ประเภทสารานุกรมหรือบทเรียนเท่านั้น แต่ไม่มีผลต่อการเล่น Audio-CD และ Video-CD ซึ่งใช้ความเร็วแค่ 2x เท่านั้นเอง CD-Writer ปัจจุบันคอมพิวเตอร์ที่วางจำหน่ายบางรุ่นได้ติดตั้ง
CD-Writer แทนที่จะติดตั้ง CD-ROM Drive CD-Writer นี้มีลักษณะกายภาพภายนอกและคุณสมบัติเหมือน CD-ROM Drive ทุกประการ แต่ผนวกความสามารถในการบันทึกข้อมูลลงแผ่น CD รวมทั้งทำสำเนาแผ่น CD ด้วย
แผ่นที่จะนำมาเพื่อบันทึกหรือทำสำเนาจะต้องเป็นแผ่นที่เรียกว่า CD-R (บันทึกได้ครั้งเดียว หากผิดพลาดแผ่นจะเสียหายเลย) หรือ แผ่น CD-RW
(บันทึกและปันทึกซ้ำได้ โดยผู้ผลิตแผ่นประเภทนี้อ้างว่าจะบันทึกซ้ำได้ประมาณ
1,000 ครั้ง) คุณสมบัติที่ผู้ซื้อ CD-Writer ต้องพิจารณาคือความเร็ว ซึ่งใช้วิธีการระบุเช่นเดียวกับ CD-ROM
Drive แต่ในที่นี้จะเพิ่มตัวเลขจาก 1 เป็น 3
ตัว เช่น 20/10/40 หมายความว่า CD-Writer
ตัวนี้บันทึกแผ่น CD-R สูงสุดที่ 20x บันทึกแผ่น CD-RW สูงสุดที่ 10x และอ่านแผ่นทุกประเภทสูงสุดที่ 40x
5.Monitor Monitor นั้นเป็นจอภาพที่ขึ้นชื่อในด้านการประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้เป็นอย่างดี
ดังนั้นระบบการจ่ายไฟฟ้าจึงมีส่วนสำคัญ และ แต่แตกต่างจากจอภาพแบบ CRT
Monitor ซีอาร์ที มอนิเตอร์ เล็กน้อยตรงที่จอภาพแบบ LCD
Monitor นั้นจะมีตัวแปลงกระแสไฟฟ้าทั้งแบบ ด้านใน (Internal)
และแบบด้านนอก (External) ซึ่งจอภาพแบบ
แอลซีดี มอนิเตอร์ ที่มีตัวแปลงกระแสไฟฟ้าแบบภายใน
และภายนอกนั้นก็จะมีทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวเอง โดยแบบภายในนั้นข้อดีก็คือ
การติดตัง และเวลาเคลื่อนย้ายไฟใช้งานที่อื่นสามารถที่จะยกไปใช้งาน
และติดตั้งได้ง่าย ไม่จำเป็นต้องนำอุปกรณ์อื่นๆ ไปด้วย สำหรับข้อเสียคือเรื่องของความหนาในส่วนของด้านหลังของจอภาพ
ซึ่งจะเป็นต้องเพิ่มเนื้อที่ในการติดตั้งในส่วนของตัวแปลงกระแสไฟฟ้าเพิ่มขึ้น
และข้อเสียอีกข้อหนึ่งคือเรื่องของความร้อนที่เกิดขึ้น เพราะตัวแปลงกระแสไฟฟ้า
สำหรับจอภาพแบบ LCD Monitor (แอลซีดี มอนิเตอร์)
ที่มีตัวแปลงกระแสไฟฟ้าด้านนอกนั้นข้อดีก็คือ จอภาพจะมีความแบน และบางเป็นอย่างมาก
และจะมีน้ำหนังที่เบา ความร้อนที่เกิดขึ้นในระหว่างใช้งานจะมีไม่มาก
เนื่องจากนำส่วนการแปลงกระแสไฟฟ้าออก ไปไว้ข้างนอก ข้อเสียนั้นคือ การติดตั้ง
และการเคลื่อนย้ายเป็นไปได้ลำบาก
เนื่องจากจำเป็นต้องนำเอาตัวแปลงกระแสไฟฟ้าที่แยกออกมาก นำไปติดตั้งด้วยทุกครั้ง
และตัวแปลงกระแสไฟฟ้าของจอภาพแบบละรุ่นมักจะแตกต่างกันจึงไม่สามารถที่จะใช้งานร่วมกันได้
เพราะถ้าค่าของกระแสไฟฟ้าผิดจากที่ใช้ปกติ อาจจะทำ
ให้เกิดความเสียหายขึ้นกับจอได้นั้นก็เป็นข้อสังเกตในการเลือกซื้อจอภาพแบบ LCD
Monitor (แอลซีดี มอนิเตอร์)
ซึ่งเป็นข้อสังเกตที่สามารถที่จะทำการดูได้จากข้อมูลทางเทคนิค (Specification)
ของจอในแต่ละรุ่นเพื่อที่จะทำการตัดสินใจเลือกซื้อจอภาพแบบ LCD
Monitor (แอลซีดี มอนิเตอร์) มาใช้งาน
เพื่อให้ได้จอภาพที่เหมาะสมกับการใช้งาน และเหมาะกับตัว ผู้ใช้งานมากที่สุด
โดยในแต่ละข้อนั้นก็สามารถที่จะนำไปประยุกต์ในการเลือกซื้อจอภาพแบบอื่นๆ ได้อีก
สำหรับข้อแตกระหว่างจอภาพแบบ CRT Monitor (ซีอาร์ที
มอนิเตอร์) กับ LCD Monitor (แอลซีดี มอนิเตอร์)
นั้นก็สามารถที่จะทำการสรุปเป็นข้อๆ ได้ดังนี้ รูปร่าง และน้ำหนัก: จอภาพ แบบ LCD
Monitor (แอลซีดี มอนิเตอร์) นั้นจะมีความบาง และแบนกว่าจอภาพแบบ CRT
Monitor (ซีอาร์ที มอนิเตอร์) เป้นอย่างมากนั้นเป็นเพราะเทคโนโลยีในการแสดงภาพที่แตกต่างกัน
ซึ่งเป็นข้อดีที่ LCD Monitor (แอลซีดี มอนิเตอร์)
นั้นได้เปรียบจอภาพแบบ CRT Monitor (ซีอาร์ที มอนิเตอร์)
อยู่มากอีกทั้งด้วยความบาง และแบนของจอ LCD Monitor (แอลซีดี
มอนิเตอร์) จึงทำให้น้ำหนักนั้นเบากว่าจอ CRT Monitor (ซีอาร์ที
มอนิเตอร์) เป็นอย่าง มาก การเคลื่อนย้ายจึงสามารถทำได้ง่ายกว่า พื้นที่ในการแสดงผล:ในบางครั้งหลายๆ
ท่านจะสังเกตเห็นได้ว่าจอภาพแบบ LCD Monitor (แอลซีดี
มอนิเตอร์) นั้นถึงแม้จะมีขนาดเท่ากับจอภาพแบบ CRT Monitor (ซีอาร์ที
มอนิเตอร์) มักจะมีพื้นที่ในการแสดงภาพมากกว่า อย่างเห็นได้ชัด
นั้นก็เพราะว่าจอภาพแบบ LCD Monitor (แอลซีดี มอนิเตอร์)
นั้นสามารถที่จะแสดงภาพได้เต็มพื้นที่ อีกทั้งความบาง และความคมชัดของจอภาพ
จึงทำให้ดู เหมือนจอภาพของ LCD Monitor (แอลซีดี มอนิเตอร์)
จะมีพื้นที่แสดงภาพมากกว่าจอภาพแบบ CRT Monitor (ซีอาร์ที
มอนิเตอร์) ที่มีขนาดเท่ากัน ขนาดความหนาของจอภาพที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ความคมชัดของภาพ:ถึงแม้ว่าจอภาพแบบ
LCD Monitor (แอลซีดี มอนิเตอร์) นั้นจะมีระยะห่างของจุด (Dot
Pitch) มากว่าจอภาพแบบ CRT Monitor (ซีอาร์ที
มอนิเตอร์) บางรุ่น แต่ความคมชัด และสีสันนั้น จอภาพแบบ LCD Monitor (แอลซีดี มอนิเตอร์) จะมีอยู่สูงกว่าจอภาพแบบ CRT Monitor (ซีอาร์ที มอนิเตอร์) อยู่มากเนื่องจากว่าจอภาพแบบ LCD Monitor (แอลซีดี มอนิเตอร์) ใช้หลักการเรืองแสง
และแสดงภาพแบบดิจิตอลภาพที่ได้จะแสดง ได้ถูกต้องตามตำแหน่งของภาพได้มากกว่า
และเนื่องจากเป็นผลึกเหลว
การไล่สีของภาพจึงสามารถที่จะทำได้ดีกว่าการยิงแสงของจอภาพแบบ CRT Monitor
(ซีอาร์ที มอนิเตอร์) ภาพที่ได้จึงคมชัดมากกว่า การกระจายของรังสี
นี้ก็เป็นอีกข้อหนึ่งที่เป็นที่พูดถึงกันมากในการใช้งานคอมพิวเตอร์ นั้นคือ
การกระจายรังสีของจอภาพที่ใช้งานกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งจริง และการ กระจายรังสี
นี้มีอยู่ในทุกๆ จอภาพ ไม่ว่าจะเป็น โทรทัศน์ รวมทั้งอุปกรณ์แสดงภาพต่าง
แต่ทำไหมถึงจอภาพแบบ CRT Monitor (ซีอาร์ที มอนิเตอร์)
จึงเป็นที่พูดถึงกับบ่อย ซึ่งจริงๆ แล้วจอภาพที่อาศัยหลักการยิงแสงอิเล็กตรอนให้เกิดภาพทุกจอ
มีการกระจายรังสีเท่ากันไม่ว่าจะเป็น โทรทัศน์ หรือจอ CRT Monitor (ซีอาร์ที มอนิเตอร์) แต่การชม โทรทัศน์นั้นมักจะชมกันอยู่ในระยะที่ไกล
จึงทำให้ได้รับรังสีน้อย และแทบจะไม่มีผลกระทบมากนัก
แต่จอภาพที่ใช้งานกับคอมพิวเตอร์นั้น การใช้ งานส่วนใหญ่จะอยู่ในระยะที่ใกล้
โอกาสที่จะได้รับรังสีจึงมีมากกว่าปกติ แต่สำหรับจอภาพแบบ LCD Monitor (แอลซีดี มอนิเตอร์) นั้นการกระจายของรังสีนั้นมีน้อยกว่า จอภาพ แบบ CRT
Monitor (ซีอาร์ที มอนิเตอร์)
ดังนั้นโอกาสที่จะได้รับผลกระทบจากรังสีจึงน้อยตามมา ซึ่งก็ช่วยให้สายตา และสุขภาพของผู้ใช้งานได้รับอันตรายจากการใช้งาน
คอมพิวเตอร์ได้น้อยลง ประหยัดพลังงานข้อนี้เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าจอภาพแบบ LCD
Monitor (แอลซีดี มอนิเตอร์) นั้นใช้พลังงานที่น้อยกว่า จอภาพ แบบ CRT
Monitor (ซีอาร์ที มอนิเตอร์) ถึง 50%-60% ยิ่งถ้าในองค์ที่มีการใช้งานเครื่อง
คอมพิวเตอร์เป็นจำนวนมาก การใช้งาน จอภาพ แบบ LCD Monitor (แอลซีดี
มอนิเตอร์) จะเป็นการช่วยลดรายจ่ายในเรื่องของค่าไฟฟ้าในระยะยาวได้เป็นอย่างมาก
และก็ถือ เป็นการประหยัดการใช้งานพลังงานไฟฟ้าได้เป็นอย่างมาก ราคา
สำหรับในข้อนนี้นั้น จอภาพ แบบ CRT Monitor (ซีอาร์ที
มอนิเตอร์) คงจะได้เปรียบอยู่มากเนื่องจากจอภาพแบบ CRT Monitor (ซีอาร์ที มอนิเตอร์) นั้นราคาถูกกว่าจอภาพแบบ LCD Monitor (แอลซีดี มอนิเตอร์) อยู่มาก เมื่อ เปรียบเทียบในขนาดของจอภาพเดียวกัน
ดังนั้นผู้ซื้อส่วนใหญ่มักจะเลือกซื้อจอภาพแบบ CRT Monitor (ซีอาร์ที
มอนิเตอร์) กันเป็นส่วนมาก ถึงแม้จอ LCD Monitor (แอลซีดี
มอนิเตอร์) จะมี ประสิทธิภาพในการใช้งานที่มากกว่า แต่ราคามักจะเป็นสิ่งที่กำหนด
และมีผลในการตัดสินใจในการซื้ออยู่มาก จากที่กล่าวมานั้นก็น่าที่จะทำให้การเลือกซื้อจอภาพแบบแบบ
LCD Monitor (แอลซีดี มอนิเตอร์) นั้นสามารถทำได้ง่ายขึ้น
ซึ่งน่าจะทำให้ผู้ที่ต้องการจะเลือกซื้อจอภาพแบบ LCD Monitor (แอลซีดี มอนิเตอร์)
มาใช้งานนั้นสามารถที่จะเลือกซื้อจอภาพที่เหมาะสมกับตัวผู้ใช้งาน
และสามารถที่จะใช้งานได้ถึงประสิทธิภาพสูงสุดของจอภาพ และถึงแม้จอภาพแบบ LCD
Monitor (แอลซีดี มอนิเตอร์) ยังมีราคาที่แพงกว่าจอภาพ CRT
Monitor (ซีอาร์ที มอนิเตอร์) อยู่มากนั้นแต่ประสิทธิภาพ
และประโยชน์ที่จะได้รับจากจอภาพแบบ LCD Monitor (แอลซีดี
มอนิเตอร์) นั้นก็มีไม่น้อยถ้าจะตั้งงบในการเลือกซื้อจอภาพ มากขึ้นสักหน่อย
ก็เป็นเรื่องที่ดีและสมควรเป็นอย่างยิ่ง เพราะอย่าลืมว่า
การใช้งานที่ภาพที่ไม่เมาะสมกับงานที่ทำ หรือการตั้งค่าที่ผิดไป
ผลเสียในจะมีต่อผู้ใช้ โดยตรง ซึ่งย่อมเป็นสิ่งที่ไม่คุ้มค่าเลยแม้แต่น้อย
จึงอยากจะให้ผู้ที่ต้องการจะเลือกซื้อจอภาพมาใช้งานนั้นเลือกซื้อจอภาพที่ดีมีคุณภาพ
และเหมาะสมกับผู้ใช้ใหม่ มากที่สุด
ซึ่งผลงานที่ได้ออกมานั้นก็จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดตามมาเหมือนกัน
6.Sound Card Sound Card (ซาวนด์การ์ด)
ถือเป็นอุปกรณ์อีกชิ้นหนึ่งที่นับวันเริ่มมีผู้ให้ความสนใจมากขึ้นทุกวัน
เพราะสามารถที่จะสรรค์สร้างพลังเสียงออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยทุกวันนี้การผลิต Sound Card ซาวนด์การ์ด
ออกมาให้เราได้ใช้นั้น ล้วนแต่เป็น Sound Card ที่มีคุณภาพที่ดีทั้งสิ้น
แต่ก็มีความแตกต่างทางด้านใช้งานพอสมควร ดังนั้นในการเลือกซื้อ ซาวนด์การ์ด นั้น
ควรจะต้องดูที่ความต้องการของคุณเป็นหลักครับ ถ้ามองย้อนหลังไปในอดีต
ท่านคงจะทราบถึงการพัฒนาการของ Sound Card ซึ่งเมื่อก่อนในการผลิต
Sound Card (ซาวนด์การ์ด) ออกมาใช้งาน ซาวนด์การ์ด
จะมีการผลิตที่ใช้กับสล็อตแบบ ISA ถ้าดูโดยรวมแล้วในการส่งข้อมูลของการ์ดแบบนี้มีการส่งข้อมูลค่อนข้างช้า
และขนาดของการ์ดยังมีขนาดที่ใหญ่มาก ซึ่งออกจะใหญ่เทอะทะด้วยซ้ำไป อีกทั้งยังเป็น Sound
Card (ซาวนด์การ์ด) ที่ดึงความสามารถของคอมพิวเตอร์ของท่าน
ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ของท่านมีการทำงานที่ช้าลง
รวมทั้งเสียงที่ได้จากการ์ดแบบนี้ยังมีคุณภาพของเสียงต่ำมากๆ เมื่อเทียบกับ Sound
Card (ซาวนด์การ์ด) ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ผู้คิดค้นการ์ดแบบ ISA
นี้คงผลิตมาเพื่อใช้กับการใช้ร่วมกับคาราโอเกะ
หรือการฟังเพลงเล็กๆน้อย แต่ก็นับเป็น Sound Card (ซาวนด์การ์ด)
ที่ได้รับความนิยมมากในขณะนั้น แต่มาถึงในปัจจุบัน เครื่องมือ เทคโนโลยีต่างๆ
ต่างก็มีการพัฒนาขึ้นมาก รวมไปถึง ซาวนด์การ์ด ที่คนรู้จักเป็นอย่างดี
ซึ่งต่อมาได้มีการพัฒนารูปลักษณ์ของเจ้า Sound Card นั้นออกมาในลักษณะของการ์ดแบบ
PCI ถ้าดูเรื่องขนาดแล้วมีขนาดที่เล็กกว่าการ์ดแบบ ISA
มาก อีกทั้งในการส่งข้อมูลยังมีความเร็วที่สูงกว่าด้วย
ดึงทรัพยากรภายในเครื่องน้อยลง อีกทั้งยังมีคุณภาพเสียงที่โดดเด่น
มีการการกระจายของเสียงที่ดี ซึ่งมีหลายๆอย่างที่ดีกว่าการ์ดแบบ ISA มาก จึงทำให้ในการผลิตการ์ดแบบ ISA นี้ล้มเลิกลง
เหตุผลอีกข้อหนึ่งที่ทำให้การ์ดแบบนี้หยุดการผลิตลง
เนื่องจากเครื่องคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันนี้ที่ทำการผลิตออกมา และตัดสล็อตแบบ ISA
นี้